Type to search

Business Make A Move

อยากมีธุรกิจของตัวเอง!? เริ่ม MOVE ตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนหมดไฟ

Share

เคยไหมมีความรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่เป็นไปอยู่ทุกวันนี้จนไม่อยากทำงานที่ทำอยู่แล้ว มองไปรอบๆ ก็ไม่รู้จะทำอะไรดีถ้าไม่ทำตรงนี้ จนเผลอมีความคิดว่า อยากมีธุรกิจอะไรเป็นของตัวเอง? แต่…เมื่อคิดไปสักพัก ก็เหมือนวิ่งชนกำแพงอย่างจัง เพราะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มยังไง? เชื่อไหม คำถามเหล่านี้เป็นคำถามในใจที่ไม่ว่าใคร ทั้งคนเคยประสบความสำเร็จหรือยังไม่ประสบความสำเร็จ ก็เคยตั้งคำถามนี้กับตัวเองกันทุกคน

ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะให้เหตุผลไปต่างๆ นานา แต่สรุปใจความได้ว่า ที่ไม่กล้าเริ่มธุรกิจของตัวเองเพราะ “ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร” และไม่แน่ใจว่าถ้าออกจากงานที่ทำอยู่ หรือจุดที่ยืนอยู่ แล้วมาทำเต็มตัว จะสามารถทำสำเร็จได้หรือไม่ คุ้มไหม? ที่จะยอมเสียเงินเดือน ที่จะก้าวออกมาจาก Comfort Zone ของตัวเอง เพื่อมาผจญภัยในโลกธุรกิจ ที่ยังไม่มั่นใจว่าจะรอดหรือไม่

แต่ไม่ว่าจะเหตุใด ถ้าเรามีความตั้งใจและพร้อมที่จะ Move ไปข้างหน้า ก็ขอให้ตามเรามา เพราะเรามีข้อมูลและคำแนะนำมาฝากกันผ่านบทความนี้ เพื่อเป็น Guild Line ให้ทุกคนในการตัดสินใจ และลองสำรวจตัวเอง พร้อมกับวางแผนไปพร้อมกันว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องทำบ้าง และควรต้องเริ่มทำอย่างไร เพื่อจะได้เอาไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้และเริ่มออกเดินทางตามหาความฝันกันซักที

“ทำธุรกิจอะไรดี? “ ทำให้คำนี้หายไป

คำถามที่คนส่วนใหญ่มักจะถามตั้งแต่เริ่มคิด และเป็นคำถามที่ตอบยากมาก เพราะคนที่จะรู้คำตอบได้ดีที่สุดก็คือตัวคุณนั่นเอง เพราะคนแต่ละคนมีความสามารถ มีความรู้พื้นฐาน แรงบันดาลใจ ทักษะความเชี่ยวชาญที่สะสมมาทั้งหมดในชีวิตแตกต่างกัน ดังนั้น จุดเริ่มต้นว่าเราจะทำธุรกิจอะไรดี จึงไม่สามารถให้คนอื่นมาตอบแทนคุณได้ เพราะบางอย่างที่คนอื่นทำแล้วดี มันอาจจะไม่ได้เหมาะกับคุณ มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คุณชอบก็ได้ เมื่อไม่ใช่สิ่งที่รัก ไม่ใช่สิ่งที่ชอบหรือถนัด เมื่อเจอปัญหาอะไรขึ้นมานิดหน่อย คุณก็จะท้อ ไม่รู้จะไปอย่างไรต่อแล้วก็ล้มเลิกไปในที่สุด

ในทางกลับกัน ถ้าคุณเริ่มต้นจากสิ่งที่ถนัด มีความหลงใหลหรือรักในสิ่งๆ นั้น และสามารถอยู่กับมันได้ทั้งวันทุกวันโดยที่ไม่เบื่อ แม้คนอื่นจะบอกว่ามันน่าเบื่อสุด นั่นแหละคุณกำลังจะพบรักแท้ครั้งแรกที่ชื่อว่าคำตอบ ฉะนั้นแล้ว ถ้าตอนนี้คุณยังตอบคำถามนี้ให้กับตัวเองไม่ได้ว่าจะทำอะไรดี แนะนำให้คุณลองหากระดาษมาสักใบ แล้วเขียนทุกสิ่งที่มันลอยอยู่ในหัวลงไปทั้งหมด ค่อยลิสต์ออกมาว่า จากประสบการณ์ทั้งหมดในชีวิตที่ผ่านมา ตัวเรามีความถนัดหรือมีความสามารถด้านใดบ้าง โดยยังไม่ต้องสนใจว่าจะทำมันได้ไหม หาเงินได้หรือไม่ ขอแค่เป็นสิ่งที่ถนัด ชอบ หรืออาจจะเป็นงานอดิเรกที่หลงใหลก็ไม่ผิดกติกา เขียนออกมาให้ได้เยอะที่สุดเพื่อเป็นวัตถุดิบในการเริ่มต้นเส้นทาง และแน่นอนว่า เราอาจจะได้เห็นภาพความเป็นตัวตนของเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ลูกค้าของคุณคือใคร

เมื่อเราผ่านขั้นตอนแรกได้จนตอบคำถามของตัวเองได้ว่า จะทำอะไร ก็เดินต่อมาเลย มากันที่การเลือก! ว่าสิ่งที่เราจะทำ มันเกี่ยวกับอะไรหรือเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอะไร โดยเราอาจกลับไปมองจากกระดาษที่ลิสต์ไว้ก็ได้ เพราะหนึ่งในนั้นอาจมีคำตอบของข้อนี้อยู่ จนนำมาสู่คำตอบของคำถามที่ว่า สิ่งที่เราจะเริ่มทำเกี่ยวกับอะไรห รืออีกนัยก็คือ กลุ่มลูกค้าของเราคือใคร? เพื่อที่เราจะกำหนด “กลุ่มเป้าหมาย” ในธุรกิจให้ได้ เพราะการเริ่มต้นธุรกิจโดยไม่มีกลุ่มเป้าหมาย มันก็เหมือนกับหาเข็มในมหาสมุทร ที่เราต้องลองทำนั่นทำนี่อยู่นานกว่าจะรู้ว่าสิ่งที่เราจะทำ ทำให้ใคร หรือทำเพื่อขายใคร เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน และเสียโอกาสดีๆ ไปหมด

รู้จักกลุ่มลูกค้ากันสักหน่อย
B2B (Business to Business) หรือ B2C (Business to Customer) 

  • B2B : กลุ่มลูกค้าของคุณคือบริษัท หรือองค์กรต่างๆ ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุดิบที่ขายให้เป็นจำนวนมากๆ เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำลง เช่น อาจจะขายเครื่องจักรบางอย่างเข้าโรงงาน หรือเป็นการขายวัตถุดิบหรือสารเคมีบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ในธุรกิจของลูกค้า หรือไม่ก็อาจจะเป็นธุรกิจที่เป็นรูปแบบที่เป็นบริการที่ลูกค้าต้องใช้เป็นประจำ เช่น โรงงานอาหารและยาต้องมีการดูแลเรื่องความสะอาด ปราศจากแมลงหรือปลวก เราก็อาจจะทำธุรกิจอำนวยความสะดวกในการฉีดยากำจัดปลวกบริเวณรอบโรงงานทุกเดือนก็ได้ หรือแม้จะเป็นบริษัทที่จัดหาแม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดประจำบริษัทหรือโรงงาน นี่ก็ถือว่าเป็นธุรกิจแบบ B2B เช่นเดียวกัน ข้อดีของธุรกิจแบบนี้ก็คือ เป็นธุรกิจที่แทบจะไม่ต้องลงทุนเรื่องการทำการตลาดอะไรมากนัก เน้นการหานักขายที่วิ่งเข้าหาธุรกิจที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเรา แล้วทำสัญญาต่อเนื่องไปเลย ซึ่งถ้าบริษัทของคุณไม่มีปัญหา ทำงานดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ต่อกัน ก็จะได้ลูกค้าในระยะยาวต่อเนื่องไปเลย แต่ข้อเสียก็อาจจะเป็นตรงที่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นการขายกับคู่ค้าที่เป็นบริษัท มักจะขอเครดิตในการชำระเงิน 15 วัน, 30 วัน หรือ 45 วัน แล้วแต่ตกลง ซึ่งตรงนี้ถ้าคุณไม่ได้มีเงินทุนสำรองที่จะใช้ในการหมุนเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจต่อไป ก็อาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องกระแสเงินสดในธุรกิจของคุณได้เช่นกัน

  • B2C : เมื่อกลุ่มลูกค้าของคุณคือคนทั่วๆ ไปแน่นอนคุณต้องทำอย่างไรก็ได้ให้คนทั่วไปเห็น รู้จัก และชอบสินค้าของคุณให้มากที่สุด จึงต้องทำการตลาดแบบแมส (Mass Market) เน้นทุ่มเงินไปดันการตลาดมากๆ เช่น คุณอาจจะต้องไปออกบูธตามงานต่างๆ หรือซื้อโฆษาใน TV หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ นี่ก็จะเป็นต้นทุนที่จะทำให้คนส่วนใหญ่รู้จักธุรกิจของคุณ และยอดขายก็จะตามมา หลังจากนั้น ถ้ามีคนกลุ่มหนึ่งได้ลองใช้ และสินค้าของคุณดีจริง มีคุณภาพก็จะเป็นการบอกปากต่อปาก มีการซื้อซ้ำ แต่แน่นอน การขายแบบนี้คุณก็จะมีคู่แข่งเยอะแยะมากมาย ต้องมีการจัดโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมต่าง ๆ เพื่อดึงลูกค้าให้มาซื้อของคุณมากๆ ให้ชนะคู่แข่งให้ได้นั่นเอง

ปัญหาของพวกเขาคืออะไร?

ของจะขายได้ก็ต่อเมื่อมันเป็นสิ่งที่คนคนนั้นอยากได้ ดังนั้น การจะหาสิ่งนั้นที่เขาอยากได้ ก็ต้องรู้ก่อนว่า ตอนนี้พวกเขา (ลูกค้า) กำลังเผชิญกับปัญหาอะไรอยู่ แล้วเราจะช่วยพวกเขาแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร? เหมือนเวลาที่เราคัน ถ้าเราเกาไม่ตรงจุด ก็คงจะคันอยู่แบบนั้นใช่มั้ย? เพราะฉะนั้นเราก็ต้องหาวิธีที่จะเกาให้ตรงจุดให้ได้ เพื่อให้พวกเขาหยุดคัน ถ้าไม่หยุดคันก็ขายยาหม่องหรือคาราไมน์ให้เลย เพราะยังไงเขาก็ต้องซื้อแน่นอน!!

สรุปเป้าหมายที่ชัดเจน

มาถึงตอนนี้ ภาพธุรกิจของเราก็น่าจะชัดเจนขึ้นแล้ว แต่เพื่อให้ชัดเจนขึ้นไปอีก เพื่อให้เรามองเป้าหมายให้ลึกและไกลพอ  เราลองเขียนแผนทุกอย่างของเราออกมาทั้งหมด ลงใส่กระดาษอีกครั้ง เพื่อมองภาพรวม ว่ามีอะไรที่พลาดหรือลืมไปบ้างไหม เช่น

images.pexels.com

  • ธุรกิจที่คุณต้องการทำ : ธุรกิจรับผลิตอาหารเสริมแบบ OEM (Original Equipment Manufacturer)
  • รูปแบบธุรกิจ : B2B คือคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการทำอาหารเสริม และการขอจดทะเบียนอาหารเสริม ซึ่งลูกค้าของคุณคือเจ้าของธุรกิจที่ต้องการมีแบรนด์อาหารเสริมเป็นของตัวเอง คุณผลิตในแบรนด์ของลูกค้า และลูกค้าคุณนำไปทำการตลาดเรื่องการขายต่อเอง
  • เป้าหมาย : ต้องการมียอดขายอย่างน้อย 30 ล้าน ภายใน 3 ปีแรก
  • กำไร : คุณต้องการกำไรไม่ต่ำกว่า 30% จากยอดขาย
  • กลุ่มลูกค้า : ผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ต้องการมีอาหารเสริมเป็นของตัวเอง แต่ยังไม่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องการวิจัยและพัฒนาสินค้า ไม่ทราบวิธีการขอ อย. ที่ซับซ้อน และยังไม่ต้องการตั้งโรงงานเองและลงทุนเรื่องเครื่องจักรต่างๆ ในการผลิตสินค้า ต้องการบริการที่เป็นเหมือน One Stop Service ให้เค้าได้มีสินค้าอาหารเสริมในแบรนด์ของตัวเอง โดยมีบริษัทที่ผลิตให้อย่างครบวงจร สั่งผลิตกับบริษัทของคุณ เพื่อให้ได้สินค้าตามปริมาณที่ลูกค้าต้องการ
  • ต้นทุนการผลิต : ค่าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งค่าจ้างนักวิจัยและวัตถุดิบที่ใช้ในการทำตัวอย่าง ค่าดำเนินการการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าสำนักงาน ค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์การวิจัย ฯลฯ
  • ต้นทุนการตลาด : ค่าทำเว็บไซต์ ค่าการตลาดออนไลน์ ค่าโบรชัวร์ ค่าออกบูธ ฯลฯ

แผนสำรองเมื่อ (ธุรกิจ) ไม่เป็นไปตามที่หวัง

แน่นอนการลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งที่มีเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา การเมือง สงคราม ภัยธรรมชาติ ครอบครัว หุ้นส่วน กฎหมาย เงินทุน ฯลฯ ต่างๆ มากมายที่อาจเข้ามาเป็นอุปสรรค์ที่คุณจะต้องเตรียมการรับมือแก้ไข ดังนั้น คุณควรที่จะลิสต์ปัญหา ความเป็นไปได้ ความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจะเกิดขึ้น และเตรียมวิธีการรับมือในทุกๆ ปัญหาที่อาจะเกิดขึ้น มีแผนสำรอง มีเงินสำรองรองรับไว้ ก็จะช่วยให้มีทางหนีทีไล่ได้ทันเมื่อเกิดวิกฤตขึ้นจริงๆ เพราะจงจำไว้เสมอว่า เมื่อเราเปลี่ยนบทบาทหน้าที่จากการเป็นพนักงานประจำที่ทุกสิ้นเดือนมีเงินเข้าบัญชี เมื่อเจ้านายมอบหมายงานให้ หรือมีปัญหาจากภายนอกเข้ามา เจ้านายก็จะเป็นคนคิดหาทางแก้ไขให้ เราก็แค่ลงมือทำตาม แต่นับจากนี้ไป ทุกอย่างคือคุณ! คุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณจะเป็นหัวเรือใหญ่ ความรับผิดชอบในเรื่องการตัดสินใจต่างๆ อยู่ที่คุณแล้ว ธุรกิจของคุณจะไปถึงฝั่งฝันไหม ลูกน้องที่คุณมีจะมีเงินเดือนจ่ายหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเตรียมการรับมือปัญหา การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และการตัดสินใจที่เฉียบขาดของคุณ แผนสำรองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อทำให้ตัวคุณและทุกคนในบริษัทมีทางเลือกเดินต่อไปได้เมื่อทางแรกปิดลง

ทุกการลงทุนคืออนาคต

ในโลกของธุรกิจ คุณจะประสบความสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับคุณควบคุมต้นทุนการผลิตให้ต่ำและมีคุณภาพมากแค่ไหน และคุณสามารถขายได้ มีรายได้ให้บริษัทของคุณมากเท่าไหร่ ยิ่งคุณมีต้นทุนที่ต่ำ และยอดขายสูง กำไรย่อมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน เพราะแม้ทีมขายของคุณจะเก่งฉกาจแค่ไหน ทำยอดขายให้พุ่งสูงมาก แต่มีรายจ่ายที่เป็นต้นทุนที่ไม่จำเป็นออกไปเป็นจำนวนมาก กำไรก็แทบไม่เหลือ หรือถ้าต้นทุนสามารถควบคุมได้ดีมาก แต่สินค้าขายไม่ได้ ขาดทีมขายที่เป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงบริษัทของคุณ ก็สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้บริษัทของคุณเจ๊งเช่นกัน ดังนั้น คุณต้องทำให้ทั้งสองสิ่งนี้สมดุลเพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทของคุณ

เวลาทุกคนมีเท่ากัน แต่ถ้าเรามีมากกว่าก็ชนะ!

ทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากันทุกวัน ดังนั้นธุรกิจของใครจะไปได้ไวและไกลกว่ากัน อยู่ที่ความสามารถในการหาคนเก่งและมีคุณภาพเข้ามาร่วมทีม ซึ่งเรื่องคนเป็นเรื่องปราบเซียนของนักธุรกิจใหม่หลาย ๆ คน เพราะคนส่วนใหญ่ออกจากงานมาด้วยความเชี่ยวชาญบางอย่าง เมื่อคุณอยู่ในบริษัทตอนที่คุณเป็นพนักงาน คุณอาจจะมีผลงานโดดเด่นมากในเรื่องฝีมือเฉพาะทางของคุณ แต่เมื่อคุณผันตัวมาเป็นเจ้าของธุรกิจแล้ว คุณต้องยอมรับว่า จะมีสิ่งที่ต้องให้คุณทำและตัดสินใจมากมาย

images.pexels.com

ถ้าคุณรวมทุกสิ่งทุกอย่างมาไว้ที่คุณ แน่นอน ด้วยเวลาในการทำงานที่มีจำกัด คุณทำงานทุกอย่างคนเดียว ก็จะมีชั่วโมงในการทำงานแค่ประมาณ 8 ชั่วโมงเท่านั้น (แม้ว่าคุณจะเถียงว่า ฉันจะทำงานให้มากกว่า 8 ชั่วโมง จริง ๆ ก็บวกลบไม่ได้มากไปกว่านั้นเท่าไหร่ เพราะคุณก็ควรต้องแบ่งเวลาสำหรับพักผ่อน สำหรับใช้เวลากับครอบครัว ซึ่งคุณต้องตระหนักไว้เสมอว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดคือเวลาต่างหากที่จะลดน้อยลง เรื่องเงินนั้นคุณจะหาได้มากเท่าไหร่ที่ต้องการก็ได้ถ้าคุณมีการจัดการที่ดีพอ)

แต่ถ้าคุณยอมปล่อยงานบางส่วนให้คนอื่นเข้ามาช่วยคุณ หาคนที่มีคุณภาพ และไว้ใจได้ ถ้าคุณมีลูกน้องซัก 5 คนที่มีคุณภาพ ทุกคนทำงานวั้นละ 8 ชั่วโมง คุณก็จะได้ชั่วโมงในการทำงานเพิ่มขึ้นเป็น 40 ชั่วโมงต่อวันทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าถ้าคุณควบคุมการทำงานของคนเก่งที่มีคุณภาพได้ 40 ชั่วโมงที่เพิ่มขึ้นมานี้ คุณได้กำไรกลับมาคุ้มทุนมากกว่าการที่คุณใช้เวลาทั้งวันของคุณทำงานงก ๆ อยู่คนเดียวแน่นอน

เป็นยังไงกันบ้าง คำแนะนำในการเริ่มต้นเส้นทางธุรกิจของตัวเองจากเรา หวังว่าเพื่อนๆ จะได้แนวคิดและเอาไปปรับใช้เพื่อทำความฝันในการสร้างธุรกิจของตัวเองให้เป็นจริง แต่อย่าลืมนะว่า “หนทางไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นที่ก้าวแรก” ถ้าเรามีความฝัน ก็ควรจะหาทางทำตามความฝัน หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณมีแนวคิดที่จะเริ่มต้น และกล้าที่จะลงมือทำมันให้สำเร็จ แม้ทำเต็มที่แล้วยังไม่สำเร็จ อย่างน้อยเราก็จะได้เรียนรู้จากความผิดพลาดและเติบโตแข็งแรงมากกว่าเดิม เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ


บทความนี้เรียบเรียงขึ้นโดย ทีมงาน MOVER

mover.in.th@gmail.com
Tags